top of page

ความกตัญญู แรงแห่งการตอบแทนที่ดึงดูดโชคลาภ

ความกตัญญู แรงแห่งการตอบแทนที่ดึงดูดโชคลาภ

ความกตัญญู

ความกตัญญู

สาเหตุที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ฉุดคนไม่ให้มีโชค และร่ำรวยได้นั้น มาจากการไม่รู้จักความกตัญญูผู้มีพระคุณ คำว่า “ผู้มีพระคุณ” นั้นไม่ได้หมายความเพียงแต่บิดามารดา หรือญาติผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ยังหมายถึงทุกสรรพสิ่งที่ยังประโยชน์ให้กับชีวิตของเราในทุกด้าน

ที่เป็นครูบาอาจารย์ที่สอนโดยตรงหรือทางอ้อม เพื่อน คนรอบข้าง สัตว์เลี้ยงที่ให้คุณ ลูกค้า ลูกน้องผู้ใต้บังคับบัญชา ฯลฯ หรือใครก็ได้ที่เคยให้ เคยช่วยเหลือไม่ว่าเป็นเรื่องใดๆ และเราเป็นผู้รับ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสโดยสรุปในเรื่องนี้ไว้ว่า บุคคลที่หาได้ยากในโลกนี้ มีอยู่ 2 ประเภทคือ ผู้ที่มีความกตัญญูรู้อุปการะที่ท่านทำแล้ว และผู้ที่มีความกตเวที

ความกตัญญู คือ ความรู้อุปการคุณที่มีผู้ทำไว้ เป็นคุณธรรมคู่กับความกตเวที คือ การตอบแทนอุปการคุณที่ผู้อื่นทำไว้นั้น บุญคุณที่ว่านี้มิใช่ว่าตอบแทนกันแล้วก็หายกัน แต่หมายถึงการรำลึกถึงพระคุณที่เคยให้ความอุปการะแก่เราด้วยความเคารพยิ่ง เมื่อรู้พระคุณแล้วก็ตอบแทนพระคุณท่าน มีความคิดเช่นนี้อยู่ภายในใจอย่างต่อเนื่อง และแสวงหาโอกาสทำหน้าที่ตอบแทนบุญคุณท่านอย่างไม่รู้ลืม

บุคคลเช่นนี้หาได้ยากในโลก และสัตบุรุษทั้งหลายตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยสาวก และบัณฑิตชนจึงพากันสรรเสริญยกย่อง แม้เทวดาทั้งหลายก็ปกปักรักษา ผู้ที่มีความกตัญญูกตเวที

ในทางกลับกัน คนที่ไม่รู้พระคุณใครนั้นยากที่จะเจริญได้

มีคนมากมายที่ไม่มีความกตัญญูรู้คุณผู้มีพระคุณ ชีวิตที่เห็นยังดีและมีความเจริญก้าวหน้านั้นยังคงเป็นเพราะบุญเก่ายังส่งผล แต่เมื่อหมดบุญเก่าความเจริญนั้นก็ถึงเวลาหมดสิ้นไปด้วย และยิ่งกับคนที่ไม่มีบุญเก่ามากพอ ก็จะทำให้ชีวิตต่ำลงๆ ไปเรื่อยๆ

แรงแห่งความกตัญญู เป็นแรงดึงดูดโชคลาภ ความร่ำรวยที่สำคัญมากแรงหนึ่ง หลายคนเรียกว่า แรงแห่งการตอบแทน

ดังนั้นขอให้พิจารณาถึงสิ่งของหรือผู้ที่ควรกตัญญูนั้นควรจะเป็นใครและสิ่งใดบ้าง

1. กตัญญูต่อบุคคล บุคคลที่ควรกตัญญูก็คือ ใครก็ตามที่มีบุญคุณควรระลึกถึงและตอบแทนพระคุณ เช่น

-บิดามารดา มีอุปการคุณแก่บุตร ธิดา

ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ให้การศึกษา อบรมสั่งสอน ให้ละเว้นจากความชั่ว มั่นคงในการทำความดี เมื่อถึงคราวมีคู่ครองได้จัดหาคู่ครองที่เหมาะสมให้และมอบทรัพย์สมบัติให้ไว้เป็นมรดก

บุตร ธิดา เมื่อรู้อุปการคุณที่บิดามารดาทำไว้ย่อมตอบแทนด้วยการประพฤติตัวดี สร้างชื่อเสียงให้แก่วงศ์ตระกูล เลี้ยงดูท่าน และช่วยท่านทำงานของท่าน และเมื่อล่วงลับไปแล้วก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่าน

พระพุทธองค์เคยตรัสว่า ลูกที่มีความกตัญญู อยากจะตอบแทนพระคุณพ่อแม่ให้ถึงที่สุด ต่อให้นำพ่อและแม่มาประดิษฐานอยู่บนบ่าซ้ายและบ่าขวา ปรนนิบัติท่านทั้งสองอยู่บนบ่าของตนให้มีความสุขเต็มเปี่ยมในทางโลกที่ท่านพอใจ

กระทั่งยอมให้ท่านอุจจาระปัสสาวะอยู่บนบ่าของตนจนวันหนึ่งท่านทั้งสองนั้น ล่วงไปตามอายุสังขารอย่างสงบ แต่การปรนนิบัติมารดาบิดาถึงเพียงนั้น ก็นับว่า เป็นการแสดงความกตัญญูอย่างโลกๆ อย่างธรรมดาๆ เท่านั้นเอง

ส่วนลูกคนใดก็ตาม นอกจากปรนนิบัติมารดาบิดาอย่างที่กล่าวมาข้างต้นตามปกติแล้ว ยังได้นำพ่อแม่ดำเนินเข้าสู่เส้นทางธรรม ด้วยการนำท่านให้สมาทานประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา หรือ ทาน ศีล ภาวนา จนพ่อแม่มีธรรมกำกับชีวิต

ลูกคนไหนทำได้อย่างนี้ นี่คือ ที่สุดแห่งความกตัญญู ลูกคนใดทำได้ชาตินี้มีแต่ความเจริญ

-ครูบาอาจารย์ มีอุปการคุณแก่ศิษย์

ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ประสาทความรู้ให้ ฝึกฝนแนะนำให้เป็นคนดีสอนศิลปวิทยาให้อย่างไม่ปิดบัง ยกย่องให้ปรากฏแก่คนอื่นและช่วยคุ้มครองศิษย์ทั้งหลาย ศิษย์เมื่อรู้อุปการคุณที่ครูอาจารย์ทำไว้ย่อมตอบแทนด้วยการตั้งใจเรียน ให้เกียรติและให้ความเคารพไม่ล่วงละเมิดโอวาทของครู ไม่ดูหมิ่นท่าน

-ท่านผู้ให้ความช่วยเหลือยามทั้งที่เรามีความสุขหรือทุกข์ยาก

ในฐานะที่ท่านเมตตาสงเคราะห์ให้เรานั้นผ่านความยากลำบากไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดทั้งเงินทอง การช่วยเหลืออำนวยความสะดวก จึงควรที่จะตอบแทนช่วยเหลือท่านเมื่อมีโอกาสไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่แม้เพียงเรื่องเล็กก็ต้องรีบขวนขวายตอบแทนตามกำลังที่เรามี

2. กตัญญูต่อสัตว์

ในฐานะที่สัตว์มีคุณต่อเราช่วยทำงานให้เรา เราก็ควรเลี้ยงดูให้ดี ให้เหมาะสมเช่นช้าง ม้า วัว ควาย หรือสุนัขที่ช่วยเฝ้าบ้าน เป็นต้น

3.กตัญญูต่อสิ่งของ

ในฐานะที่สิ่งของทุกอย่างที่มีคุณต่อเราเช่น หนังสือที่ให้ความรู้แก่เรา อุปกรณ์ทำมาหากินต่างๆ เราไม่ควรทิ้งคว้าง หรือทำลายโดยไม่เห็นคุณค่า คนรวยหลายคนนั้นไม่เคยลืมคุณของสิ่งของที่ช่วยสร้างเนื้อสร้างตัว ทั้งหม้อไห หาบ รถจักรยานเก่าๆ เหล่านี้เขาเก็บไว้เพื่อระลึกถึงความยากลำบากในหนหลัง เพื่อใช้เตือนสติตน

และรู้ซึ้งถึงคุณค่าของสิ่งของเหล่านี้ที่ทำให้เขาโชคดีขึ้นมาได้ ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งท่านย้ำไว้นักหนาว่า รูปพ่อแม่ รูปพระมหากษัตริย์ ครูบาอาจารย์ หนังสือสวดมนต์อย่าวางไว้ที่ต่ำ เพราะจะเป็นการไม่ดีสำหรับตนเองควรวางไว้ในที่เหมาะสม

คนเรานั้นจะถือว่าเป็นคนดีหรือเป็นคนไม่ดีนั้น ตัดสินกันได้ที่ความกตัญญู ใครขาดกตัญญูหรือคนเนรคุณนั้นไม่เรียกว่าเป็นคนดี เป็นคนชั่ว ไม่ควรคบ โบราณท่านว่า คนเนรคุณเป็นคน “ทำมาหากินไม่ขึ้น ไม่เจริญ” ซึ่งเป็นเรื่องจริงอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะคนที่ทำเรื่องร้ายๆ ทำร้าย ทำลายจิตใจพ่อแม่ ทำให้พ่อแม่เสียใจถึงขั้นร้องไห้น้ำตาไหลนองหน้านั้น ชาตินี้ไม่มีวันเจริญหากไม่ขออโหสิกรรมและกลับตัวใหม่ และจะได้รับกรรมอันนี้สนองในชาตินี้เป็นส่วนมาก กล่าวคือลูกของเรา ก็จะทำต่อเราเช่นนี้เหมือนกัน

ท่านพุทธทาสได้กล่าวไว้ ในเรื่องของ โลกรอดเพราะกตัญญู ว่าคนทุกคนในโลกนี้ มีชีวิตอยู่ได้ และมีความสะดวกสบายอยู่ได้ เพราะอาศัยความรู้สติปัญญา ความสามารถของผู้อื่น อันมีจำนวนมากนับไม่ไหว

หากไร้ปัจจัยอันสำคัญนี้แล้ว เขาจะต้องตาย ตั้งแต่ออกจากท้องมารดาใหม่ๆ เพราะไม่มียาจะกิน ไม่มีผ้าจะห่ม ไม่มีหลังคาจะอาศัย คนที่มีความกตัญญูถึงที่สุด ก็คือคนที่ยอมรับว่า แม้แต่สัตว์พาหนะ เช่น วัวควาย ก็เป็นสิ่งที่มีบุญคุณละเอียดยิ่งไปกว่านั้น ย่อมรู้จักบุญคุณของป่าไม้ ทุ่งนา ห้วยหนอง คลอง ลำธาร ถนนหนทางและสิ่งสาธารณะอื่นๆ กระทั่งดอกไม้ และผีเสื้อละเอียดสุขุมยิ่งขึ้นไปกว่านั้น ย่อมรู้จักบุญคุณของศัตรูและปรปักษ์

ตลอดจนรู้ถึงสิ่งอันเป็นอุปสรรคต่างๆชนิด ศัตรู ทำให้เราประกอบด้วยคุณธรรมอันสูงยิ่งขึ้นด้วยความอดกลั้น อดทน เสียสละ อุปสรรค ทำให้เรามีปัญญาเข้าใจโลกถูกต้องตามความเป็นจริง ถ้าหัวใจของคนทุกคนในโลกนี้ เต็มไปด้วยความกตัญญูกตเวทีจริงๆแล้ว โลกนี้ก็จะเป็นโลกที่สวยงาม น่าอยู่ ปลอดภัย

ความอกตัญญู ไม่รู้คุณคนนั้นนั้นเป็นเหตุสำคัญอีกสาเหตุหนึ่ง ที่จะคอยฉุดรั้งคนไว้ไม่ให้เดินหน้าไปสู่ความเจริญได้ ไปไหนก็ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย และยิ่งกับคนที่แม้แต่ตอบแทนท่านยังไม่ทำซ้ำยังเนรคุณพ่อแม่ ผู้มีพระคุณนั้น

ชาตินี้ไม่มีวันเจริญขึ้นมาได้

การแสดงความกตัญญูทั้งกาย วาจา ใจ เป็นสิ่งที่ควรลงมือตอบแทนพระคุณท่านให้สมกับที่ท่านเคยมีพระคุณต่อเรา คิดดี พูดดี ทำดี แล้วมันก็จะต้องได้อย่างเดียว คือได้ดีนั่นเองคือได้ความเจริญรุ่งเรืองตลอดไป

การล้างเท้าพ่อแม่ การนำดอกไม้เครื่องหอม เสื้อผ้าไปขอขมา ขออโหสิกรรมแม่นั้นเป็นสิ่งที่ควรทำและได้กล่าวแบบละเอียดไปแล้วในหลายเล่มที่ผ่านมา เมื่อทำดี ได้รับการอโหสิกรรมจากท่านรงส่งสำคัญให้ท่านมีแต่เรื่องดีๆ เข้ามาในชีวิต เมื่อทำดีแล้วอย่าทำผิดซ้ำรอยเดิมอีกเป็นอันขาดแล้ว ก็อย่าทำผิดซ้ำรอยเดิมอีกเป็นอันขาด

อะไรที่ทำให้ท่านมีความสุขก็รีบทำเสีย ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ทำ และการทำบุญกับพ่อแม่นั้นเหนือกว่าการสร้างโบสถ์ สร้างวิหารร้อยหลังพันหลังเสียอีก

ในตอนนี้จะบอกถึงเคล็ดลับสำคัญมาก สำหรับท่านที่ยังไม่มีโอกาสไปขอขมา ขออโหสิกรรมพ่อแม่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ท่านอยู่ไกล หรือหาท่านไม่เจอ หรือแม้กระทั่งท่านยังไม่ยอมยกโทษให้ ยังไม่ยอมพูดด้วยหรือแม้แต่ท่านเสียชีวิตไปแล้ว

ให้ทำการอุทิศบุญให้ท่านแบบเจาะจงในทุกๆวัน ทุกครั้งที่มีการสร้างบุญและอธิษฐานขอให้ท่านได้อโหสิกรรมให้

โดยเฉพาะการทำสมาธิเจริญภาวนาที่มีพลังเหนือกว่าการทาน ถือศีลและส่งผลเร็วมาก

ขั้นตอนในการทำสมาธิเพื่อส่งบุญให้พ่อแม่นั้น ก่อนนั่งทำสมาธิเจริญภาวนาทุกครั้งให้เริ่มตั้งจิตดังนี้

“ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงดลบันดาลบุญที่ข้าพเจ้า……………………กำลังจะภาวนาเวลานี้ จงสำเร็จแก่พ่อแม่………………… (เอ่ยชื่อท่านจะยิ่งดี) ขอให้บุญภาวนาที่กำลังจะทำนี้เป็นของท่านตามที่ปรารถนาทุกประการเทอญ”

เมื่อนั่งสมาธิเสร็จแล้วให้กล่าวซ้ำอีกครั้งและให้นึกถึงหน้าพ่อแม่(หรือผู้มีพระคุณ) นึกให้เห็นภาพเราเดินไปกราบที่เท้าท่าน ขออโหสิกรรมต่อท่านที่ได้ล่วงเกินทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ พยายามนึกให้เห็นภาพท่านยิ้มพูดคำให้อโหสิกรรมกับเรา โอบกอดเรา ให้ท่านนึกภาพเหล่านี้ให้เห็นชัดที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำในทุกๆ วันที่มีโอกาส

รับรองว่าวันหนึ่งสิ่งที่ท่านคิดจะเกิดขึ้นจริงด้วยแรงบุญ แรงกตัญญู และกรรมดีที่ท่านทำโดยเฉพาะการทำสมาธิเจริญภาวนานี้

จะเป็นแรงส่งสำคัญให้ท่านมีแต่เรื่องดีๆ เข้ามาในชีวิต

ขอขอบคุณ หนังสือเรื่อง สุดยอดวิชาศักดิ์สิทธิ์

ดู 0 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


bottom of page